ข่าวประชาสัมพันธ์
SSP ปลื้ม! ทริสฯปรับเพิ่มเครดิตองค์กรเป็น"BBB+"แนวโน้ม"Stable" ชี้โครงสร้างการเงินแกร่ง - กระแสเงินสดแน่นอน มีพอร์ตโรงไฟฟ้าหลากหลายหนุนอนาคตเติบโตยั่งยืน
บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น(SSP) แกร่ง! ทริสฯปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรเป็น"BBB+"จาก "BBB" แนวโน้ม "Stable" เนื่องจากกระแสเงินสดมีความแน่นอนระยะยาว สภาพคล่องเพียงพอต่อการลงทุนในอนาคต รวมถึงมีพอร์ตโรงไฟฟ้าที่หลากหลายทั้งโซลาร์ฟาร์ม-วินด์ฟาร์ม-ชีวมวล ฟาก "วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์"ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเผย ตอกย้ำสถานะการเงินที่เข้มแข็ง พร้อมเดินหน้ารุกขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งในและต่างประเทศ หนุนอนาคตเติบโตอย่างยั่งยืน
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรเป็น "BBB+"จาก BBB ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงบริษัทฯมีกระแสเงินสดค่อนข้างแน่นอนจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Solar ที่ต่ำ และผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง และมี (D/E) ของบริษัทฯ ณ สิ้น มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 1.87 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทฯมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดในการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งหมด แม้บริษัทจะขยายไปยังโรงไฟฟ้าพลังงานลม และชีวมวลในเดือนมิถุนายน 2565 ขณะที่บริษัทฯได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าทั้งหมด 19 โครงการทั้งในประเทศไทยและในทวีปเอเชีย โดย 16 โครงการเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ 2 โครงการเป็นพลังงานลม และ 1 โครงการเป็นชีวมวลโรงไฟฟ้าของบริษัทดำเนินการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญญาที่ทำ ไว้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมทั้งผู้รับซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือหลายรายในประเทศญี่ปุ่น และการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity -- EVN) โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว เป็นแบบ Non-firm (สัญญาที่ผู้ผลิตไม่มีข้อผูกมัดเกี่ยวกับการสั่งเดินเครื่อง และจะได้รับเฉพาะค่าพลังงานไฟฟ้า) กระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนใหญ่มักจะคาดการณ์ได้จากการมีอัตราค่าไฟฟ้าที่แน่นอน และความเสี่ยงในการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่ต่ำ
สำหรับบริษัทฯมีโครงสร้างทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเพิ่มทุนในช่วงปลายปี 2564- 2565 จำนวน 1.58 พันล้านบาท จากการทำ PP และ SSP-W1 นอกจากนี้การขายโครงการฮิดากะยัง ทำให้งบการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ในช่วงครึ่งปีแรก 2565 อัตราหนี้สินต่อ EBITDA ลดลงเป็น 2.7 เท่า จาก 4.5 เท่า ณ สิ้นปี 2564 อัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 44.7% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 59.7% ณ สิ้นปี 2564
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า SSP มีสภาพคล่องเพียงพอ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีเงินกู้ระยะสั้น และเงินกู้ยืมระยะยาวที่ครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือน จำนวน 1.2 พันล้าน ในขณะเดียวกันบริษัทมีเงินสดจำนวน 5.1 พันล้านบาท โดยคาดว่าบริษัทฯจะมีเงินสดจากการดำเนินงานจำนวน 2 พันล้านบาท
สำหรับแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า โรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่เป็นที่น่าพอใจ และสร้างกระแสเงินสดได้ตามที่ประมาณการไว้ และสามารถเปิดดำเนินงานโครงการได้ตามแผน โดยไม่มีความล่าช้าในการก่อสร้างหรือไม่มีต้นทุนในการก่อสร้างที่สูงเกินกว่าคาด ในขณะที่ระดับของหนี้สินจะยังอยู่ใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้
"การที่ทริสฯจัดอันดับองค์กรให้อยู่ระดับ "BBB+" นั้น ถือเป็นสิ่งที่ดี และตอกย้ำความเข้มแข็งในด้านฐานะการเงินของบริษัท ซึ่งมีความพร้อมที่จะเดินหน้าลงทุนขยายโครงการโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และสามารถผลักดันการเติบโตในระยะยาว รวมทั้งสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในทุกๆปี" นายวรุตม์กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SSP กล่าวอีกว่า เมื่อบริษัทฯมีฐานะทางการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ยิ่งเป็นแรงหนุนให้ฐานเงินทุนมีความพร้อมในการรองรับแผนการขยายพอร์ตโรงไฟฟ้า Renewable ทุกรูปแบบ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานแล้ว 232 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าหมายภายในปี 2568 บริษัทฯจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็นเท่าตัว แตะที่ระดับ 500 เมกะวัตต์