SSP หุ้นโรงไฟฟ้าไซส์มินิ พีอีต่ำ

11 August 2020

หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นหุ้นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์จะแนะนำให้ลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวแบบผันผวน ไร้ทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงหรืออยู่ในกลุ่มหุ้น Defensive ที่มีความมั่นคงของกระแสเงินสด และปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ จะเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยที่เข้ามามีผลกระทบในแต่ละวัน

ทั้งนี้ บล.บัวหลวงได้ แนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยให้เลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็ก มองเป็นโอกาสในการเข้าสะสม สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เข้าลงทุนในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก ยังคงเห็นสัญญาณที่ดีของการปรับประมาณการขึ้น โดยมีรายชื่อหุ้นแนะนำ 15 ตัวได้แก่ JMT, CHAYO, TFG, ASIAN, APURE, SUN, XO, PTG, SFLEX, PTL, TPCH, SSP, ILINK, PRM, SMPC

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า หุ้นบริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในการลงทุนช่วงนี้ เนื่องจากหากพิจารณาที่ราคาหุ้นเทียบกับอัตรากำไรสุทธิ(P/E) จะพบว่าอยู่ในระดับกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด และกลุ่มอุตสาหกรรม โดยตอนนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET) มีค่าพีอีเรโช อยู่ที่ระดับ 19.15 เท่า และหุ้นกลุ่มพลังงาน มีค่าพีอีเรโชเฉลี่ยอยู่ที่ 29.25 เท่า ขณะที่ SSP ณ ราคาที่ระดับ 7.50 บาทต่อหุ้นมีค่าพีอีเรโช อยู่ที่ 10.83 เท่า และยังเป็นระดับพีอีเรโชที่ต่ำสุดในรอบ 4 ปี

ขณะเดียวกันหากพิจารณาแผนการดำเนินธุรกิจจะเห็นว่า มีโอกาสเติบโตอย่างชัดเจน ตามกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี2563 ซึ่งจะรับรู้รายได้ได้เต็มที่จากโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตรวมกว่า 135 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกันบริษัทฯยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆเข้ามาเพิ่มศักยภาพได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว และได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นโรงไฟฟ้าครบวงจร และมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่เติบโตได้มากกว่าเท่าตัวในอีก 3-5 ปีข้างหน้าอีกด้วย

" วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP กล่าวว่า เป้าหมายการดำเนินธุรกิจในระยะยาว บริษัทฯยังคงมองหาลู่ทางการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เข้ามาเติมพอร์ตต่อเนื่อง สอดคล้องกับรายได้และกำไรที่เติบโตสูงมาตลอด โดยในปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2563 เพื่อไปสู่เป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือเพิ่มเป็น 400 เมกะวัตต์ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า

เขาระบุว่าภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ผ่านมาครึ่งปีแรกบริษัทฯยังคงมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้ โดยคาดว่ารายได้และกำไรจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ตามแผน จากการรับรู้รายได้โซลาร์ฟาร์มเวียดนาม และมองโกเลียเต็มปี และโรงไฟฟ้ายามากะในประเทศญี่ปุ่นขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 30 เมกะวัตต์ ได้มีการขายไฟเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) ในวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าทำได้เร็วกว่ากำหนด ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีกทาง

นอกจากนี้ SSP ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดกำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ ในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีความคืบหน้ามาพอสมควรแล้ว โดยโครงการดังกล่าวมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และกำหนดขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงกลางปี 2564 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ยังมีโครงการอื่นๆที่อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุน เพื่อเป็นรองรับการเติบโตในอนาคตได้เป็นอย่างดี

ฉะนั้น SSP คือหุ้นดาวเด่นของกลุ่มนี้ และกำลังจะเข้าสู่โหมดของการรับรู้รายได้อย่างเต็มกำลังการผลิตในมือที่มีอยู่ ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่เหมาะสมตามที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ประเมิน ซึ่งอยู่ที่ระดับราคา 8-10 บาท ดังนั้นจึงน่าจะเป็นจังหวะที่เหมาะสม หากจะทยอยสะสมเพื่อถือลงทุนในระยะยาว