Press Releases
SSP ปลื้ม! ขึ้นทำเนียบหุ้นน่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 ตอกย้ำพื้นฐานแกร่ง! โตแรงฝ่าโควิด
SSP สุดปลื้ม! ขึ้นแท่นหุ้นน่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 64 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 24 หลักทรัพย์ ตอกย้ำปัจจัยพื้นฐานแกร่ง โตแรงฝ่าวิกฤติโควิด ฟาก “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” เปิดแผนงานครึ่งปีหลังเตรียม COD โรงไฟฟ้าญี่ปุ่น-เวียดนาม เพิ่ม หนุนผลงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SSP) เปิดเผยถึงกรณีที่สถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG Rating ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ได้ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 โดย SSP อยู่มีรายชื่อหุ้นอยู่ในกลุ่มดังกล่าว ถือว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงหลักการคิดในการบริหารธุรกิจของบริษัทฯ ที่ไม่ได้มองเพียงมิติของผลกำไรจากการดำเนินงานเพียงเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ของความยั่งยืน โดยหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 มีทั้งสิ้น 24 หลักทรัพย์
ทั้งนี้ การพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน กลุ่ม ESG Emerging ในปีนี้ นับเป็นปีที่สองของการประเมิน โดยใช้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่ม หรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ หรือการประหยัดต้นทุนของกิจการในรอบปีการประเมิน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SSP กล่าวอีกว่า แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่บริษัทฯยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น และเวียดนาม เตรียมขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผน ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
อนึ่ง ผลการดำเนินงานของ SSP ในไตรมาส 1/64 แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บริษัทฯยังคงรักษาความสามารถทำกำไรได้ในระดับสูง มีกำไรหลักจากการดำเนินงานจำนวน 178.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วนกำไรหลักจากการดำเนินงาน 35.6% ของรายได้รวม สะท้อนการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ